ปัญหาเรื่องฝ้าที่เห็นนั้นเกิดจากเซลล์สร้างเม็ดสีในบริเวณผิวหนังทำงานผิดปกติ และส่งเม็ดสีขึ้นมาบนผิวหนังด้านบนเป็นจำนวนมาก จึงทำให้ความเข้มของสีผิวไม่สม่ำเสมอ ลักษณะคล้ายกับจุดด่างดำแต่มีบริเวณที่กระจายกว้างกว่า บริเวณบนใบหน้ามักจะเกิดฝ้าได้ง่ายเพราะมีโอกาสสัมผัสกับแสงแดดมากกว่าส่วนอื่น เช่น โหนกแก้ม หน้าผาก เหนือคิ้ว และบริเวณเหนือริมฝีปาก พบการเกิดฝ้าในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายและพบมากในวัย 30-40 ปี
ฝ้าพบบ่อยในสุภาพสตรีวัยกลางคน มีลักษณะเป็นผื่นสีน้ำตาล พบบริเวณแก้ม จมูก หน้าผาก เหนือริมฝีปากด้านบน และคาง ผื่นมักมีสีคล้ำขึ้นเมื่อถูกแสงแดด ฝ้ามีลักษณะเป็นปื้นสีน้ำตาลหรือดำ ซึ่งขอบเขตของปื้นอาจไม่ชัดเจนนัก คืออาจมีสีเข้มแล้วขอบๆอาจมีสีจางลง เป็นได้ทั่วใบหน้า ผู้หญิงจำนวนหนึ่งเข้าใจว่า ฝ้าเกิด จากอายุที่มากขึ้น โดยเฉพาะผู้หญิงที่ย่างเข้าสู่วัยทองซึ่งเป็นวัยที่หมดฮอร์โมน ทำให้ผิวพรรณมีปัญหา แต่ความจริงแล้วฝ้าเกิดจากการที่เซลล์เมลาโนไซต์ ซึ่งอยู่ในหนังกำพร้าชั้นล่างสุดของผิวหนัง ผลิตเมลานินหรือเม็ดสีออกมามากเกินจำเป็น
ชนิดของฝ้ามี 3 ชนิด ได้แก่
1. ฝ้าที่เกิดในบริเวณหนังกำพร้า มีลักษณะเป็นผื่นสีน้ำตาลเข้ม สามารถมองเห็นได้ชัด ฝ้าชนิดนี้ค่อนข้างตอบสนองดีต่อการรักษา เนื่องจากเม็ดสีเมลานินอยู่ไม่ลึกในผิวหนังจึงง่ายต่อการกำจัด
2. ฝ้าที่อยู่ในชั้นหนังแท้ ผื่นฝ้าจะเป็นสีน้ำตาลผสมสีเทาเข้ม ขอบเขตจะเห็นไม่ชัดเจนเนื่องจากเม็ดสีเมลานินอยู่ในระดับที่ลึกมากขึ้น มีผลทำให้รักษาค่อนข้างยาก ตอบสนองไม่ดีต่อการรักษา
3. ฝ้าชนิดผสม มีเม็ดสีเมลานินสะสมมากผิดปกติทั้งในชั้นหนังแท้ และหนังกำพร้า การแยกชนิดของฝ้านั้นจะมีประโยชน์ต่อการรักษา ทำให้สามารถประเมินได้ว่าจะรักษาได้ผลดีมากน้อยเพียงใด อย่างไรก็ตามการตรวจด้วยสายตาอาจมีข้อจำกัด บางครั้งอาจต้องใช้กล้องแสงอัลตราไวโอเลต ช่วยในการจำแนกชนิดของฝ้า สาเหตุการเกิด สาเหตุของการเกิดฝ้านั้นยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อว่าน่าจะมีปัจจัยหลายอย่างร่วมกันได้แก่ แสงแดด ฮอร์โมน ยา การแพ้เครื่องสำอาง ตลอดจนพันธุกรรม
การรักษาฝ้าโดยแพทย์จะช่วยให้ฝ้าจางลงได้ในเวลาอันรวดเร็วร่วมกับการป้องกันตนเองจากแสงแดดอย่างเหมาะสม ซึ่งไม่ใช่การให้ยากันแดดเพียงอย่างเดียว ส่วนบรรดาไวเทนนิ่งทั้งหลาย เช่น กรดวิตามินซี กรดโคจิก สารสกัดจาก ชะเอมเทศ (licorice) สารอาร์บูติน (arbutin) หรือสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) ทั้งหลายที่มีวางเกลื่อนเมืองนั้นก็อาจจะช่วยเสริมการรักษาฝ้าได้บ้าง ส่วนจะได้ผลมากน้อยแค่ไหนนั้นก็ขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของสารดังกล่าว รวมถึงการตอบสนองของผิวต่อสารต่างๆในแต่ละคน และความสม่ำเสมอในการใช้ครีมเหล่านั้นด้วย